ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การตีไก่หรือการชนไก่

การตีไก่หรือการชนไก่ 

ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

จังหวัด หนองคาย


การตีไก่หรือการชนไก่ หมายถึง การเอาไก่มาตีหรือต่อสู้กันเป็นการละเล่น เพื่อให้เกิดความสนุกสนานตามประเพณี หรือนักขัตฤกษ์ของไทยแต่โบราณ มีหลักฐานในประวัติศาสตร์รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขณะถูกนำไปอยู่ ณ กรุงหงสาวดีที่เคยท้าชนไก่เอาบ้านเมือง เมื่อถูกพระมหาอุปราชาสบประมาทว่าเป็น "ไก่เชลย" มาแล้ว



อุปกรณ์และวิธีการเล่น

๑. สังเวียนสำหรับการตีไก่ โดยทำเป็นวงกลมใช้เสวียนมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ เมตร

๒. อัฒจันทร์สำหรับคนดูโดยรอบสูงประมาณ ๓-๔ ชั้น

๓. ขวดโหลสำหรับใส่น้ำและกะลาเล็ก ๆ ตัดผ่าครึ่งเจาะรูเท่ารูเข็ม เพื่อให้น้ำไหลเข้าจนกะลาจม แต่ละครั้งจะเรียกว่า "อัน" หรือ "ยก" ซึ่งกำหนดให้การตีไก่ทั้งหมด ๑๒ อัน เมื่อหมดเวลาแต่ละอันจะมีคนคุมอันทำหน้าที่เคาะเกราะซึ่งทำด้วยไม้ไผ่บอกหมด อันหรือยก และนำไก่เข้ามาในสังเวียนเพื่อชนกันต่อไป ซึ่งถ้าเทียบเวลาในแต่ละอันจะประมาณ ๑๑-๑๕ นาที/อันหรือยก

วิธีเล่น

ก่อนจะลงมือตีไก่จะต้องนำไก่มาเปรียบโดยเทียบความสูงต่ำ และชั่งน้ำหนักไก่โดยวิธีใช้ฝ่ามือทั้งสองโอบรอบอกไก่ ใช้นิ้วหัวแม่มือสอดใต้ปีกให้ปลายนิ้วมือจดกัน หรือใกล้กันแล้วยกขึ้นเป็นชั่งน้ำหนัก จนเป็นที่ตกลงกัน

แล้วจึงนำไก่เข้าสังเวียนเพื่อชนกันต่อไป หรืออาจใช้วิธีทดลองให้ไก่ชนกันก่อนก็ได้ เพื่อจะได้รู้ว่าไก่ทั้งคู่จะสู้กันหรือไม่ โดยจะเรียกการทดลองนี้ว่า "อันทอด"

  • กติกาการชนไก่

เจ้าของไก่แต่ละข้างจะเข้าไปในสังเวียนได้ข้างละ ๑ คน หลังจากการทดลองอันทอดผ่านไปแล้วไก่ชนฝ่ายใดไม่สู้ และร้องวิ่งหนีตลอดทั้งอันถือว่าแพ้ หรือฝ่ายใดเกิดบาดเจ็บถ้าตาบอดทั้งสองข้าง นายบ่อนจะต้องเข้ามาพิสูจน์ว่าตาบอดจริงก็จะจับให้แพ้ทันทีแต่ถ้าหากว่าสู้ กันครบ ๑๒ อัน แต่ไม่มีผู้แพ้ ชนะ ก็ให้ถือว่าเสมอกันไปหรือจะใช้วิธีล่อหน้าจนไก่ฝ่ายใดไม่สู้ก็ได้

  • โอกาสหรือเวลาที่เล่น

นิยมเล่นในงานนักขัตฤกษ์ เช่น วันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ เป็นต้น

  • คุณค่า/สาระ

การชนไก่เป็นแบบฉบับอย่างหนึ่งของการต่อสู้ที่มนุษย์นำมาดัดแปลงให้เป็นลีลา ท่าทางในการใช้เป็นเพลงอาวุธสำหรับการต่อสู้กับศัตรู นอกเหนือจากการเล่นเพื่อความสนุกสนานหรือเล่นเป็นการพนันตามที่กฎหมายกำหนด ให้เป็นการพนันตามพระราชบัญญัติการพนันรัตนโกสินทร์ ๑๒๐ และพระราชบัญญัติการพนันพุทธศักราช ๒๔๗๕ (บัญชี ข) นอกจากนั้นยังเป็นการส่งเสริมให้มีการเลี้ยงไก่ชนไว้เพื่อจำหน่ายก่อให้เกิด รายได้เพิ่มขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ

 การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ    จำนวนผู้เล่น   2 - 4 คน วิธีเล่น ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5 ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5 หมาก หมากที่ 1 ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" ขณะที่หยิบเม็ดที่ทอดนั้น ถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย หมากที่ 2 เก็บทีละ 2 เม็ด หมากที่ 3 เก็บทีละ 3 เม็ด หมากที่ 4 ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขี้นร้าน" ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100 แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร หมายถึงว่าต้องเร...

การเล่นเพลงยิ้มใย

 การเล่นเพลงยิ้มใย ภาค     ภาคเหนือ จังหวัด  สุโขทัย เพลงยิ้มใย ปัจจุบันหาผู้ร้องได้น้อยลงทุกที ลักษณะการร้อง คือ จะมีลูกคู่ร้องสอดรับคำว่า เชียะ เชียะ เชียะ ที่ท่อนกลางของเนื้อร้องท่อนที่หนึ่งกับร้องรับทวนซ้ำสองบทหลังสอง ครั้งแล้วจึงลงคำว่า เอ๋ยแล้วเอย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงยิ้มใยสุโขทัย ไม่พบที่ใด เพลงหน้าใยของทางภาคกลางก็มีลักษณะต่างกัน แต่เรียกชื่อคล้ายกันมาก ลักษณะการเล่น เป็นการเล่นของกลุ่มหนุ่มสาว การแต่งกาย แต่งกายอย่างชาวชนบทไทยในสมัยนั้น สถานที่ (ลานวัด และหมู่บ้านที่เป็นทางเดินแห่ขบวน) วิธีเล่น ในเทศกาลตรุษ สงกรานต์ก่อนจะสรงน้ำพระจะนำพระพุทธรูปใส่เกวียนแล้วแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำไปสรง เพลงยิ้มใยนี้จะร้องเล่นกันไปในระหว่างแห่พระนั่นเอง เนื้อความทำนองร้องเล่นรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนในเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนั้น ก็จะร้องเล่นกันไปในขณะเดินขบวน เพลง ลักยิ้มก็ฉันเอย นะพ่อคุณเอ๋ยยิ้มใย (ลูกคู่) เชียะ เชียะ เชียะ ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย (ลูกคู่) ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถ...

วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว

 วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว (การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) การเล่นวิ่งวัวหรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า วิ่งเปี้ยว อาจเป็นการวิ่งทางตรงสวนกันหรือวิ่งเป็นวงกลมเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งไล่ให้ทันอีกฝ่ายหนึ่ง วัตถุประสงค์ เพื่อฝึกความเร็วและความแข็งแรง เพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อการฝึกบริหารกาย อุปกรณ์ เสา 2 หลัก ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน รูปแบบ ปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลัก ข้างละหลัก ระยะห่างประมาณ 50 หลา ผู้เล่นยืนเข้าแถวตอนด้านหลังหลักแต่ละข้าง  วิธีการเล่น เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยผู้เล่นของแต่ละฝ่ายวิ่งอ้อมหลักไล่ให้ทันกัน มือถือผ้าคนละผืนเมื่อถึงฝ่ายของตนให้ส่งผ้าให้คนต่อไป ถ้าผ้าของใครตกต้องหยุดเก็บผ้าก่อน หรือคนต่อไปเก็บผ้าและถือไว้ วิ่งต่อไป ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่งจึงถือว่า ฝ่ายนั้นชนะ ข้อเสนอแนะ ผู้เล่นคนใดถูกตีต้องรำตามเพลงที่ผู้ตีร้อง