ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การละเล่นภาคเหนือ ม้าติดคอกหรือบางท้องที่เรียกม้าจกคอก

การละเล่นภาคเหนือ
ม้าติดคอกหรือบางท้องที่เรียกม้าจกคอก

 ม้าติดคอกเป็นกีฬาที่เลียนแบบ ชีวิตประจำวันของชาวเหนือสมัยเก่าที่มีการเลี้ยงม้า   นำเอาลักษณะการเต้นของม้า   การกระโดดของม้า ลักษณะที่ม้าติดคอกเลี้ยงคือขาม้าขัดอยู่ที่ไม้กั้นคอกมาเป็นการเล่นพ้นเมืองเพื่อการออกกำลังกายและเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงนิยมเล่นกันในท้องถิ่นจังหวัดไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการเริ่มเล่นม้าติดคอตั้งแต่สมัยใด แต่พบว่ามีการเล่นกีฬาชนิดนี้กันแล้วในสมัยใดแต่ว่ามีการเล่นกีฬานี้กันแล้วในสมัยรัชกาลที่7 พ.ศ.2480(กรมพลศึกษา,2480:755) บางท้องที่เรียกว่า   ม้าจกคอก(สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี,2525:35)ปัจจุบันยังมีการเล่นอยู่บ้างแต่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
                ผู้เล่น
            เล่นกันในเฉพาะหมู่ผู้ชาย   ผู้หญิงไม่ค่อยนิยม   บางท้องที่จะจัดให้ผู้หญิงถือคานเคาะจังหวะให้   ผู้ชายเป็นผู้เต้น   ผู้หญิงไม่ค่อยเต้น   จำนวนผู้เล่นไม่จำกัดยิ่งมากยิ่งสนุก
                อุปกรณ์การเล่น
            1.ไม้ไผ่ขนาดใหญ่   แต่สั้นประมาณ 2 ศอก จำนวน 2 ท่อนสำหรับใช้วางหมอน วางตามขวาง
            2.ไม้ไผ่ขนาดเท่ากำมือยาวประมาณ    2-3 วาจำนวน 2 ท่อนสำหรับวางพาดาไม้คานบนไม้หมอน
                สถานที่เล่น
บริเวณกลางบ้านไม่จำเป็นต้องกว้างมากนัก    โดยนำไม้หมอนมาวางตามขวางให้มีระยะห่างพอวางไม้คานได้พอดี   กะให้เหลือไม้คานด้านละประมาณ 1 ศอก   แล้วเอาไม้คานพาดบนไม้หมอนทั้ง 2 อันให้ไม้คานห่างกันประมาณ 1 ศอก 
วิธีการเล่น
1.จัดให้ผู้เล่น 2 คน อยู่ที่หัวและท้ายของไม้คานข้างละคนโดยนั่งหันหน้าเข้าหากัน   มือทั้งสองข้างจับไม้คานไว้ข้างละอัน    เป็นผู้ถือไม้คานคอยเคาะจังหวะและให้ผู้เล่นที่เหลือเข้าไปยืนอยู่ตรงแนวกลางระหว่างไม้คานทั้งสองเพื่อเป็นผู้เต้น
2.เริ่มเล่นโดยผู้ถือไม้คาน      ซึ่งเป็นผู้เคาะจังหวะจะยกไม้คานทั้งคู่กระแทกลงบนไม้หมอนเป็นจังหวะเท่าๆกัน 3 ครั้งแล้วจะชิดไม้คานกระทบเข้ากันเป็นจังหวะที่ 4   ทำเช่นนี้ต่อเนื่องกันไปผู้ที่ยืนตรงแนวกลางระหว่างไม้คานซึ่งเป็นผู้เต้นจะต้องกระโดดสองเท้าที่ชิดจังหวะตามไม้คานเคาะกับไม้หมอน 3 ครั้งด้วยเมื่อถึงจังหวะที่ไม้คานจะรวบชิดกระทบกันเองโดยที่ผู้เต้นจะต้องกระโดยแยกเท้าให้พ้นไม้   แล้ววางเท้าทั้งสองคร่อมไม้คานที่ชิดนั้นไว้ ทำเช่นนี้เป็นจังหวะการกระทบไม้คานของผู้เคาะจังหวะเรื่อยไป การเคาะกระทบไม้คานของผู้เคาะจังหวะอาจจะมีการปรับเพิ่มหรือเร่งความเร็ว ของจังหวะให้กระชันเร็วขึ้นหรือช้าลงก็สุดแต่ความสามารถของผู้กระทบไม้คาน หรือสุดแต่ผู้เล่นจะตกลงกันไว้
3.ผู้เล่นคนใดกระโดดไม่พ้นถูกไม้คานหนีบขาได้   เรียกว่าม้าติดคอก จะถือว่าเป็นผู้แพ้   ต้องออกจากแนวไม้คานไป   ผู้เล่นคนใดไม่ถูกไม้คานหนีบเลยและเหลืออยู่เพียงคนเดียวจะเป็นผู้ชนะ   ในบางพื้นที่จะให้ผู้แพ้มาเป็นผู้เคาะจังหวะ   แล้วให้ผู้เคาะจังหวะมาเป็นผู้เต้นบ้างสลับกันไป
กติกา
1.ห้ามผู้เล่นสัมผัสโดนไม้คาน
2.ให้ผู้เล่นตัดสินกันเอง
           

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ

 การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ    จำนวนผู้เล่น   2 - 4 คน วิธีเล่น ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5 ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5 หมาก หมากที่ 1 ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" ขณะที่หยิบเม็ดที่ทอดนั้น ถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย หมากที่ 2 เก็บทีละ 2 เม็ด หมากที่ 3 เก็บทีละ 3 เม็ด หมากที่ 4 ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขี้นร้าน" ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100 แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร หมายถึงว่าต้องเร...

การเล่นเพลงยิ้มใย

 การเล่นเพลงยิ้มใย ภาค     ภาคเหนือ จังหวัด  สุโขทัย เพลงยิ้มใย ปัจจุบันหาผู้ร้องได้น้อยลงทุกที ลักษณะการร้อง คือ จะมีลูกคู่ร้องสอดรับคำว่า เชียะ เชียะ เชียะ ที่ท่อนกลางของเนื้อร้องท่อนที่หนึ่งกับร้องรับทวนซ้ำสองบทหลังสอง ครั้งแล้วจึงลงคำว่า เอ๋ยแล้วเอย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงยิ้มใยสุโขทัย ไม่พบที่ใด เพลงหน้าใยของทางภาคกลางก็มีลักษณะต่างกัน แต่เรียกชื่อคล้ายกันมาก ลักษณะการเล่น เป็นการเล่นของกลุ่มหนุ่มสาว การแต่งกาย แต่งกายอย่างชาวชนบทไทยในสมัยนั้น สถานที่ (ลานวัด และหมู่บ้านที่เป็นทางเดินแห่ขบวน) วิธีเล่น ในเทศกาลตรุษ สงกรานต์ก่อนจะสรงน้ำพระจะนำพระพุทธรูปใส่เกวียนแล้วแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำไปสรง เพลงยิ้มใยนี้จะร้องเล่นกันไปในระหว่างแห่พระนั่นเอง เนื้อความทำนองร้องเล่นรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนในเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนั้น ก็จะร้องเล่นกันไปในขณะเดินขบวน เพลง ลักยิ้มก็ฉันเอย นะพ่อคุณเอ๋ยยิ้มใย (ลูกคู่) เชียะ เชียะ เชียะ ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย (ลูกคู่) ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถ...

วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว

 วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว (การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) การเล่นวิ่งวัวหรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า วิ่งเปี้ยว อาจเป็นการวิ่งทางตรงสวนกันหรือวิ่งเป็นวงกลมเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งไล่ให้ทันอีกฝ่ายหนึ่ง วัตถุประสงค์ เพื่อฝึกความเร็วและความแข็งแรง เพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อการฝึกบริหารกาย อุปกรณ์ เสา 2 หลัก ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน รูปแบบ ปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลัก ข้างละหลัก ระยะห่างประมาณ 50 หลา ผู้เล่นยืนเข้าแถวตอนด้านหลังหลักแต่ละข้าง  วิธีการเล่น เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยผู้เล่นของแต่ละฝ่ายวิ่งอ้อมหลักไล่ให้ทันกัน มือถือผ้าคนละผืนเมื่อถึงฝ่ายของตนให้ส่งผ้าให้คนต่อไป ถ้าผ้าของใครตกต้องหยุดเก็บผ้าก่อน หรือคนต่อไปเก็บผ้าและถือไว้ วิ่งต่อไป ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่งจึงถือว่า ฝ่ายนั้นชนะ ข้อเสนอแนะ ผู้เล่นคนใดถูกตีต้องรำตามเพลงที่ผู้ตีร้อง