ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การฟ้อนโซ่ทั่งบั้ง

 การฟ้อนโซ่ทั่งบั้ง
 
 
          โซ่ทั่งบั้ง ถึงแม้จะกำเนิดมาจากพิธีกรรมงานศพ ที่เรียกว่า ซางกะมูด และในพิธีเจียดอง คือ ทำบุญให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิงซึ่งง่าย ชายสัญญาไว้ก่อนจะทำบุญให้ โซ่ทั่งบั้งในฐานะการฟ้อนรำ การแสดงโซ่ทั่งั้งตามแบบโบราณ ได้รับการจำลองแบบให้เป็นการฟ้อนโดยประยุกต์ท่ารำจากท่ารำมาตรฐาน กรมศิลปกรรมสมกับจำลองท่าฟ้อนตามความเชื่อเรื่องผี วิญญาณผีฟ้าผีแถน เพื่อแสดงเป็น ครั้งแรกในงานเทศกาลสงกรานต์จังหวัดสกลนคร พ.ศ.2521 โดยท่าฟ้อน 7 ท่า ดังนี้ ท่าเชิญผีฟ้า ท่าส่งผีฟ้า ท่าทั่งลั้ง ท่าถวายดอกไม้และท่าเกี่ยวแขนรำในด้านการแต่งกายสตรีนักฟ้อนที่นิยมแต่งแบบชาวโซ่โบราณจะเกล้าผมทรงสูงทรงมวย มีฝ้ายสีขาวมัดมวยผมสวมเสื้อผ้าฝ่ายแขนยาวสามส่วนสีดำ หรือย้อมครามติดกระดุมเงิน นุ่งซิ่นมัดหมี่ต่อหัวต่อเชิ่งห่มสไปด้วยผ้าเก็บดอกหรือผ้าขิด ไม่สวมรองเท้าส่วนเครื่องประดับนิยมใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยเงินเช่น ต่างหู หร้อยคอ กำไรข้อมือ กำไลข้อเท้า ในปัจจุบัน ว่าจะมีการฟ้อนแสดงความเชื่อในพิธีทั่งบั้ง แต่ชาวโซ่ที่กุสุมาลย์ก็ยังนิยมแสดงโซ่ทั่งบั้งในพิธีเยาคนป่วยไข้ไปพร้อม ๆ กันด้วย ชาวโซ่เชื่อว่าซิญญาณที่ทำให้เจ็บป่วยได้นั้น อาจเกิดจากวิญญาณของผี ฟลายชนิดเช่น ผีฝ้า ผีมูล ผีกระกูล ซึ่งโดย เงื่อนไขทีหมอเยาเสนอให้ถ้าหากเป็นที่พอใจแล้ววิญญาณผีจะออกจากร่างผู้ป่วยอาการเจ็บไขจะทุเลาลงและหายได้ ในขณะที่หมอเยาซักถามอาการมีการดูด เหล้าไหกันอยู่นั้นคนไข้แม้จะเจ็บป่วยก็จะลุกขึ้นมาร่ายรำเข้ากับเสียงแคนได้ สิ่งที่ประกอบในการแสดงโซ่ทั่งบั่งนอกจากจะ มีกลุ่มนักฟ้อนรำสตรีและกลุ่มสาธิตแสดงการเหยาคนป่วยแล้ววิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กลุ่มนักดนตรีและผู้ที่ถือท่อนกระบอกไม้ไผ่ ่ยาว 3 ปล้อง กระทุ้งดิน เป็นจังหวะ ตามเสียงกลองสิ่งนั้นคือความหมายของ "ทั่งบั้ง" ของเดิมนั้นเอง รำโส้ทั่งบั้งของอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร เป็นการรำประกอบพิธีเหยา มีวัตถุประสงค์เพื่ออัญเชิญวิญญาณของบรรพบุรุษให้มาช่วยเหลือดูแล แนะนำ บันดาล ให้อยู่เย็นเป็นสูข หายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย การรำโส้ทั่งบั้งของโส้อำเภอกุสุมาลย์มีท่ารำ ๕ ท่า คือ ๑. ท่าเชิญผีฟ้า เพื่อ
 
เชิญวิญญาณบรรพบุรุษที่เข้าทรงหมอเหยาให้มาร่วมสนุกสนาน
๒. ท่าทั่งบั้ง เป็นท่ากระแทกกระบอกไม้ใผ่ลงดินเป็นจังหวะ
๓. ท่าถวายแถน เพื่อแสดงความเคารพบรรพบุรุษ
๔. ท่าส่งผีฟ้า เพื่อเชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้ตรวจตราสอดส่องดูแลผู้คนรอบๆ บริเวณที่รำ ๕. ท่าเลาะตูบ เพื่อติดตามวิญญาณบรรพบุรุษที่กำลังตรวจตราสอดส่องดูแลรอบๆ บริเวณที่รำก่อนออกจากร่างทรง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ

 การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ    จำนวนผู้เล่น   2 - 4 คน วิธีเล่น ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5 ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5 หมาก หมากที่ 1 ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" ขณะที่หยิบเม็ดที่ทอดนั้น ถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย หมากที่ 2 เก็บทีละ 2 เม็ด หมากที่ 3 เก็บทีละ 3 เม็ด หมากที่ 4 ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขี้นร้าน" ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100 แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร หมายถึงว่าต้องเร...

การเล่นเพลงยิ้มใย

 การเล่นเพลงยิ้มใย ภาค     ภาคเหนือ จังหวัด  สุโขทัย เพลงยิ้มใย ปัจจุบันหาผู้ร้องได้น้อยลงทุกที ลักษณะการร้อง คือ จะมีลูกคู่ร้องสอดรับคำว่า เชียะ เชียะ เชียะ ที่ท่อนกลางของเนื้อร้องท่อนที่หนึ่งกับร้องรับทวนซ้ำสองบทหลังสอง ครั้งแล้วจึงลงคำว่า เอ๋ยแล้วเอย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงยิ้มใยสุโขทัย ไม่พบที่ใด เพลงหน้าใยของทางภาคกลางก็มีลักษณะต่างกัน แต่เรียกชื่อคล้ายกันมาก ลักษณะการเล่น เป็นการเล่นของกลุ่มหนุ่มสาว การแต่งกาย แต่งกายอย่างชาวชนบทไทยในสมัยนั้น สถานที่ (ลานวัด และหมู่บ้านที่เป็นทางเดินแห่ขบวน) วิธีเล่น ในเทศกาลตรุษ สงกรานต์ก่อนจะสรงน้ำพระจะนำพระพุทธรูปใส่เกวียนแล้วแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำไปสรง เพลงยิ้มใยนี้จะร้องเล่นกันไปในระหว่างแห่พระนั่นเอง เนื้อความทำนองร้องเล่นรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนในเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนั้น ก็จะร้องเล่นกันไปในขณะเดินขบวน เพลง ลักยิ้มก็ฉันเอย นะพ่อคุณเอ๋ยยิ้มใย (ลูกคู่) เชียะ เชียะ เชียะ ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย (ลูกคู่) ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถ...

วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว

 วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว (การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) การเล่นวิ่งวัวหรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า วิ่งเปี้ยว อาจเป็นการวิ่งทางตรงสวนกันหรือวิ่งเป็นวงกลมเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งไล่ให้ทันอีกฝ่ายหนึ่ง วัตถุประสงค์ เพื่อฝึกความเร็วและความแข็งแรง เพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อการฝึกบริหารกาย อุปกรณ์ เสา 2 หลัก ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน รูปแบบ ปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลัก ข้างละหลัก ระยะห่างประมาณ 50 หลา ผู้เล่นยืนเข้าแถวตอนด้านหลังหลักแต่ละข้าง  วิธีการเล่น เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยผู้เล่นของแต่ละฝ่ายวิ่งอ้อมหลักไล่ให้ทันกัน มือถือผ้าคนละผืนเมื่อถึงฝ่ายของตนให้ส่งผ้าให้คนต่อไป ถ้าผ้าของใครตกต้องหยุดเก็บผ้าก่อน หรือคนต่อไปเก็บผ้าและถือไว้ วิ่งต่อไป ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่งจึงถือว่า ฝ่ายนั้นชนะ ข้อเสนอแนะ ผู้เล่นคนใดถูกตีต้องรำตามเพลงที่ผู้ตีร้อง