ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ซีละ

 ซีละ

ภาค     ภาคใต้
จังหวัด  ยะลา
อุปกรณ์การแสดง และวิธีการแสดง
ซีละ หรือเรียกว่าดีกา หรือบือดีกา เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศ ไทย โดยได้รับอิทธิพลด้านศิลปะการแสดงที่มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดขึ้นครั้ง แรกที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเชีย หรือจากมะละกา และแพร่กระจายมายังประเทศมาเลเชีย และมาทางตอนใต้ของประเทศไทย
องค์ประกอบในการแสดง
๑. ผู้แสดง ซีละคณะหนึ่ง ๆ มีอย่างน้อย ๕ คน ผู้เล่นดนตรี ๓ คน ผู้เล่นซีละ ๒ คน การเล่นซีละจะเป็นการแสดงศิลปะการต่อสู้เป็นคู่ ต่อสู้ตัวต่อตัว ผู้เล่นจึงมี ๒ คนเป็นอย่างน้อย
๒. เครื่องดนตรีซีละเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีดนตรีประกอบเช่นเดียวกับ มวยไทยมี ๓ ชนิด คือ ฆือแน(กลองแขก) จำนวน ๑ - ๒ ใบ ฆง(ฆ้อง) จำนวน ๑ ใบ ซูนา(ปี่) จำนวน ๑ เลา
๓. เวทีการแสดง ปกติแสดงกันบนพื้นดิน สนามหญ้า หรือลานบ้าน ถ้ามีการรับเชิญไปแสดงบนเวทีก็แสดงได้ แต่ไม่ค่อยนิยมกัน
วิธีการแสดง
ผู้แสดงนิยมแต่งกายรัดกุม นุ่งกางเกงขายาว (แบบกางเกงจีน) ใส่เสื้อยืดคอกลมมีแขน มีผ้าลวดลายสวยงามพันทับจากเอวถึงเหนือเข่าและใช้ผ้าคาดสะเอว ไม่สวมรองเท้า ถ้าเป็นซีละมือเปล่าก็จะไม่พันมือ ถ้าเป็นซีละกริชจะเหน็บกริชด้วย เมื่อดนตรีประโคมนักซีละก็จะก้าวออกมาสู่เวทีทั้งคู่ แล้วผลัดกันไหว้ครูทีละคน และทำความเคารพผู้ชมโดยการโค้งคำนับ นั่งหรือยืนไหว้ หลังจากนั้นคู่ต่อสู้จะออกมาสลามัตต่อกัน (การทำความเคารพแบบพื้นเมือง) คือยื่นมือทั้งสองออกไปขอสัมผัสกัน แล้วเอาฝ่ามือทั้งสองข้างของตนมาแตะที่หน้าผากกับหน้าอก ต่อจากนั้นนักซีละทั้งคู่ก็เริ่มแสดงลวดลายท่าร่ายรำ ดูชั้นดูเชิงกันก่อน ต่างก็ให้คู่ต่อสู้เห็นกล้ามเนื้ออันทรงพลังของตน เพื่อเป็นการข่มขวัญ บางครั้งจะกระทืบเท้า ตบมือฉาด ๆ หรือใช้ฝ่ามือตบต้นขาของตนให้เกิดเสียงดังเพื่อข่มคู่ต่อสู้

พอแสดงลวดลายร่ายรำ กระทืบเท้า ตบมือ ตบขา ขู่สำทับดูชั้นเชิงกันพอสมควรแล้ว ดนตรีจะประโคมเร่งเร้าให้นักซีละคึกคะนอง นักซีละก็จะขยับเข้าใกล้กันและหาจังหวะเข้าห้ำหั่นซึ่งกันและกัน เพื่อให้คู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ เช่น หาจังหวะใช้มือหรือเท้าฟาดลำตัวหรือกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของคู่ต่อสู้ ถ้าคู่ต่อสู้เตะ อีกฝ่ายหนึ่งก็มักแก้โดยการใช้มือผลักหรือปัดขาคู่ต่อสู้แล้วชกสวนตรงหน้า หรือลำตัวอย่างฉับไว หรือหาจังหวะที่จะใช้น้ำหนักตัวทุ่มทับลงบนบ่า คู่ต่อสู้ก็พยายามต่อสู้แล้วขัดขาให้คู่ต่อสู้ล้ม เมื่อฝ่ายหนึ่งเข้าต่อสู้แบบนี้คู่ต่อสู้ที่ฉลาดจะแก้ไขโดย พยายามสปริงตัวออกห่าง หรือถ้าล้มไปแล้วก็จะพยายามที่จะจับจุดอ่อนของคู่ต่อสู้เพื่อทำลายพลัง มือจึงไขว่คว้าป้องปัดเป็นพัลวัน ขณะนั้นดนตรีจะเร่งรุดโหมประโคมในจังหวะกระชั้นเป็นการเร่งความระทึกใจแก่ ผู้ชม และเพิ่มความคึกคะนองให้แก่นักซีละ
เมื่อนักซีละแสดงไปจนหมดลีลา ซึ่งใช้เวลาประมาณคู่ละ ๑๕ - ๒๐ นาที หรือเมื่อมีการแพ้ชนะกันแล้วทั้งคู่จะถอยห่างออกจากกัน แล้วทำความเคารพผู้ชม ทำความเคารพต่อกันเป็นการจบสิ้นสำหรับการแสดงซีละคู่นั้น ถ้ามีการแสดงคู่อื่นอีกก็ก้าวออกไปสู่เวทีแล้วเริ่มต้นตลอดจนจบลงด้วยลักษณะ เดียวกัน
การเล่นซีละไม่มีการพักเป็นยก ไม่มีการให้น้ำ ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนและไม่มีกรรมการ ทั้งนี้เพราะนักซีละแต่ละคนจะมีระเบียบวินัยในตนเอง มีความซื่อสัตย์เคารพกติกา ไม่เอารัดเอาเปรียบคู่ต่อสู้โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมนอกลู่นอกทางศิลปะของซีละ
กติกาในการต่อสู้มีข้อห้ามดังนี้
๑. ห้ามใช้นิ้วแทงตา
๒. ห้ามบีบคอ
๓. ห้ามชกต่อยแบบมวย
๔. ห้ามใช้เข่าแบบมวยไทย
๕. ห้ามเตะหรือตัดล่าง
๖. ห้ามใช้ศอก ทั้งศอกสั้นและศอกยาว

สำหรับเกณฑ์การตัดสินนั้น ถ้าฝ่ายใดสามารถทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงได้เพียงฝ่ายเดียวโดยที่ตนไม่ล้มเลย
ถือว่าฝ่ายนั้นชนะขาด แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ล้มหรือล้มพอ ๆ กัน ผู้ชมก็จะเป็นผู้ตัดสินโดยใช้เสียงปรบมือ
ซีละนิยมเล่นกันในหมู่ชายเท่านั้น ในหมู่หญิงไม่นิยม และสามารถพูดได้ว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงเล่นซีละเลย ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากการเล่นซีละเป็นการแสดงหรือกีฬาที่ใช้กำลังมาก มีลีลาท่าทางที่ไม่ต้องกับธรรมเนียมของผู้หญิงไทยมุสลิม ซึ่งเรียบร้อย นิ่มนวล อ่อนหวาน ไม่นิยมการเล่นที่โลดโผนโจนทะยาน ซีละจึงเป็นการเล่นที่ผิดเพศสำหรับหญิงไทยมุสลิม ความเชื่อและวัฒนธรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง
การเล่นซีละมีความเชื่อและวัฒนธรรมอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องไม่น้อยทีเดียว นับตั้งแต่การเริ่มฝึกหัด ศิษย์ใหม่จะต้องไหว้ครูมอบตัวยอมรับว่าเป็นศิษย์ของครูเสียก่อนที่จะมีการ เรียนการสอน แต่การไหว้ครูของซีละไม่จำเป็นที่จะต้องทำพิธีในวันพฤหัสบดี เพราะไม่ได้นับถือเทพเจ้าพฤหัสบดีว่าเป็นครูของเทพทั้งหลายเหมือนคติที่ชาว ไทยนับถือกัน และไม่ได้กระทำอาการกราบเพราะผิดหลักการทางศาสนาที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ตลอดทั้งไม่ต้องทำกันทุก ๆ ปี ศิษย์คนหนึ่งจะประกอบพิธีไหว้ครูเพียงครั้งเดียวเมื่อเข้ามาเป็นศิษย์ใหม่ ของสำนักเท่านั้น
โอกาสที่แสดง
ใช้แสดงในงานเทศกาลสำคัญ งานแก้บน งานเข้าสุหนัต หรืองานเฉลิมฉลองในโอกาสต่าง ๆ
คุณค่า
ผู้แสดงได้แสดงไหวพริบด้านศิลปะการต่อสู้ เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอนามัยและสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ

 การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ    จำนวนผู้เล่น   2 - 4 คน วิธีเล่น ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5 ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5 หมาก หมากที่ 1 ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" ขณะที่หยิบเม็ดที่ทอดนั้น ถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย หมากที่ 2 เก็บทีละ 2 เม็ด หมากที่ 3 เก็บทีละ 3 เม็ด หมากที่ 4 ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขี้นร้าน" ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100 แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร หมายถึงว่าต้องเร...

การเล่นเพลงยิ้มใย

 การเล่นเพลงยิ้มใย ภาค     ภาคเหนือ จังหวัด  สุโขทัย เพลงยิ้มใย ปัจจุบันหาผู้ร้องได้น้อยลงทุกที ลักษณะการร้อง คือ จะมีลูกคู่ร้องสอดรับคำว่า เชียะ เชียะ เชียะ ที่ท่อนกลางของเนื้อร้องท่อนที่หนึ่งกับร้องรับทวนซ้ำสองบทหลังสอง ครั้งแล้วจึงลงคำว่า เอ๋ยแล้วเอย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงยิ้มใยสุโขทัย ไม่พบที่ใด เพลงหน้าใยของทางภาคกลางก็มีลักษณะต่างกัน แต่เรียกชื่อคล้ายกันมาก ลักษณะการเล่น เป็นการเล่นของกลุ่มหนุ่มสาว การแต่งกาย แต่งกายอย่างชาวชนบทไทยในสมัยนั้น สถานที่ (ลานวัด และหมู่บ้านที่เป็นทางเดินแห่ขบวน) วิธีเล่น ในเทศกาลตรุษ สงกรานต์ก่อนจะสรงน้ำพระจะนำพระพุทธรูปใส่เกวียนแล้วแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำไปสรง เพลงยิ้มใยนี้จะร้องเล่นกันไปในระหว่างแห่พระนั่นเอง เนื้อความทำนองร้องเล่นรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนในเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนั้น ก็จะร้องเล่นกันไปในขณะเดินขบวน เพลง ลักยิ้มก็ฉันเอย นะพ่อคุณเอ๋ยยิ้มใย (ลูกคู่) เชียะ เชียะ เชียะ ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย (ลูกคู่) ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถ...

วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว

 วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว (การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) การเล่นวิ่งวัวหรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า วิ่งเปี้ยว อาจเป็นการวิ่งทางตรงสวนกันหรือวิ่งเป็นวงกลมเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งไล่ให้ทันอีกฝ่ายหนึ่ง วัตถุประสงค์ เพื่อฝึกความเร็วและความแข็งแรง เพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อการฝึกบริหารกาย อุปกรณ์ เสา 2 หลัก ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน รูปแบบ ปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลัก ข้างละหลัก ระยะห่างประมาณ 50 หลา ผู้เล่นยืนเข้าแถวตอนด้านหลังหลักแต่ละข้าง  วิธีการเล่น เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยผู้เล่นของแต่ละฝ่ายวิ่งอ้อมหลักไล่ให้ทันกัน มือถือผ้าคนละผืนเมื่อถึงฝ่ายของตนให้ส่งผ้าให้คนต่อไป ถ้าผ้าของใครตกต้องหยุดเก็บผ้าก่อน หรือคนต่อไปเก็บผ้าและถือไว้ วิ่งต่อไป ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่งจึงถือว่า ฝ่ายนั้นชนะ ข้อเสนอแนะ ผู้เล่นคนใดถูกตีต้องรำตามเพลงที่ผู้ตีร้อง