ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การเส็งกลอง

 การเส็งกลอง
            กลองนี้ยังใช้เป็นสัญญาณบอกเหตุส่งข่าวเวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตีสั้นตียาวเหมือนสัญญาณนกหวีดหรือสัญญาณควัน การแข่งจะแข่งความดังและส่งสัญญาณได้ดีกว่า ที่ภาคอีสานเรียกว่าการเส็งกลอง ช่วงเข้าพรรษาช่วงน้ำเต็มคลองชาวบ้านก็จะมาเส็งกลองกัน จะนั่งเรื่อเส็งกัน เพราะวัดส่วนใหญ่ที่มีกลองนั้นจะอยู่ตามลุ่มน้ำต่างๆเช่นลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำชีลอง ลุ่มน้ำปะทาว บริเวณที่มีกลองเส็งจะอยู่ทางทิศใต้ของเมืองชัยภูมิ เช่นอำเภอเมืองด้านใต้ บ้านหนองบัวขาว ขี้เหล็กใหญ่ แถบกุดเชือก แหล่งน้ำท่วม เช่นจัตุรัสตามลุ่มน้ำชี ตามสาขาของลุ่มน้ำชี หนองบัวบาน ละหาน บ้านเขว้าจะมีแทบทุกวัด เช่นวัดเจริญผล วัดศาลาลอย วัดเก่าๆจะมีหมด ยกเว้นวัดใหม่ถ้าเจ้าอาวาสหรือชาวบ้านไม่สนใจก็จะหายไป
            จะมีการแข่งในช่วงเข้าพรรษาหลังจากทำนาเสร็จ จะเอาเรือใส่กลองมา เวลาตีจะใช้ขันน้ำบอกยก ก็จะเอาขันน้ำไว้กลาง เมื่อแข่งกันขันน้ำก็จะลอยไปฝ่ายที่ดังน้อยกว่า สมัยก่อนการแข่งนี้แทนที่จะเป็นกีฬาที่สนุกสนานกลับกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งเนื่องจากการตัดสิน มันไม่มีกติกาแน่ชัด ไม่มีเครื่องวัดเสียง ผู้แพ้ก็คิดว่ากรรมการลำเอียง สมัยนี้จึงใช้เครื่องวัดความดังของเสียงเป็นเครื่องมือในการช่วยตัดสิน จึงไม่มีการทะเลาะเกิดขึ้น เพราะเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าผลการตัดสินเป็นอย่างไร คนยุคใหม่นี้ส่วนใหญ่ที่จะมีการเส็งกลองก็จะเส็งกันในงานเทศกาลใหญ่ๆ เช่นที่ศาลเจ้าพ่อพระยาแล งานบุญเดือน ๖ นอกจากนั้นก็เป็นที่อำเภอจัตุรัสบ้าง ตามงานวัดใหญ่ๆ บ้านขี้เหล็กใหญ่ก็มีการจัดงานแข่งขันกันมาเรื่อยๆ
            กลองเส็งนี้ถือว่าเป็นของคู่บ้านคู่เมืองเนื่องจาก ในสมัยเจ้าพ่อพระยาแลอยู่บ้านโนนน้ำอ้อม ถือว่าบ้านนี้น้ำท่วมสูงในช่วงน้ำหลาก ในสมัยก่อนฝนจะตกชุกตลอด การไปมาหาสู่กันในสมัยก่อนก็จะไปทางเรือ ทางเดินคล่องตัวแต่ช้าอยู่นิด ทางบกก็คล่องตัวแต่เดินลำบากและยังมีสัตว์ป่าดุร้ายและโรคภัย เช่น ไข้มาลาเรีย ยุคหลังเส้นทางเรืออาจเปลี่ยนไปบ้าง สมัยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปตีเวียงจันทน์ก็ผ่านชัยภูมิ ก็มีการใช้กลองเส็งในการบอกสัญญาณด้วย ไม้ที่ตีกลองส่วนใหญ่จะหุ้มด้วยตะกั่วหรือเหล็กเพื่อให้เกิดเสียงดังไปไกล เมื่อมีการตีบอกข่าว อีกหมู่บ้านได้ยินก็จะบอกต่อกันเรื่อยๆ ที่บ้านเขว้าจะมีกลองเส็งเยอะ เพราะฉะนั้นกลองในวัดก็จะมีอยู่สองอย่างคือ กลองเพลและกลองเส็งหรือกลองกิ่ง
            กลองเส็ง เป็นกลองสองหน้า ตัวกลองทำด้วยไม้ประดู่ หุ้มด้วยหนัง ดึงให้ตึงด้วยเชือกหนัง มีขนาดต่างกัน ความยาวตัวกลองประมาณ 85 เซนติเมตร ความกว้างของหน้ากลองประมาณ 50 เซนติเมตร ส่วนความกว้างด้านล่างประมาณ 20 เซนติเมตร ชุดหนึ่งจะมีกลอง 2 ลูก ตีด้วยแส้ที่ทำจากไม้เค็ง ยาวประมาณ 85 เซนติเมตร เสียงดังมาก การปรับเสียงจะปรับให้มีเสียงกังวาลมากที่สุด จะตีเป็นคู่ ในภาคอีสานตอนเหนือจะมีการแข่งขันเอาชนะกัน มีกรรมการเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด มักตีในงานบุญต่างๆ การบรรเลงนั้นไม่มีทำนอง แต่จะรัวเป็นยก
ประวัติ
            กลองเส็ง มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล เรียกว่า กลองกิ่ง เพราะ ตั้งแต่อดีตชาวบ้านได้ไปตัดไม้มาทำกลองเพล กิ่งใหญ่ของต้นไม้ต้นนี้ ท่านได้ตัดมาทำกลองเส็ง จึงเรียกกลองชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่า กลองกิ่ง ชนิดของไม้เป็นไม้ประดู่เมื่อตัดไม้มาเป็นท่อนแล้วจึงได้ถากเป็นรูปกลองแล้วเจาะข้างในให้กลวงเป็นรูปปลีกล้วย เสร็จแล้วใช้หนังควายเป็นหน้ากลอง สมัยโบราณใช้หนังบิดเป็นรูปเชือกนำไปร้อยหน้าหนังกลอง ทำให้ได้เสียงดัง สมัยนี้ใช้เอกแทนหนัง สมัยก่อน กลองกิ่งใช้ตีเป็นสัญญาณเวลาเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ และใช้ตีเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านรู้ว่าเป็นวันพระ
ในปัจจุบันใช้กลองเส็งในเทศกาลต่างๆ โดยให้หลายๆหมู่บ้านมาแข่งกัน เป็นเกมกีฬาของจังหวัดชัยภูมิชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะงานประเพณีบุญเดือนหก ของเจ้าพ่อพญาแลจัดเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ยังมีการใช้ในงานประจำปี หรืองานเทศกาลต่างๆที่คณะกรรมการเห็นสมควรจัดให้มี ส่วนเรื่องของรางวัล จะเป็นเงินสด
การเส็งกลอง
            การเส็งกลอง คือ การตีกลองแข่งขัน วัดด้วยความแรง ( ดัง ) ของเสียง ในการวัดความดังของเสียง ภูมิปัญญาชาวบ้านดั้งเดิมใช้ภาชนะประเภทกระถางดินปากบานหรือกะละมังดินเผาใส่น้ำให้เต็มตั้งไว้ด้านหน้ากลองที่กำลังตีอยู่ หากน้ำในภาชนะของฝ่ายใดกระเพื่อมออกมามากกว่าถือว่าชนะ แต่ปัจจุบันใช้เครื่องวัดความดังของเสียงเป็นเครื่องวัด ซึ่งค่อนข้างจะเป็นมาตรฐานมากกว่าสมัยก่อน
วิธีเส็งกลอง
            เริ่มต้นด้วยการจับสลากว่าคณะใดจะต้องเป็นคู่แข่งกันเหมือนจัดทีมมวยหรือแข่งกีฬา
ประเภททีม คู่แข่งจะนำกลองมาตั้งในแถวเดียวกัน ( แถวหน้ากระดาน) ห่างกันประมาณ ๑.๕ เมตร คณะละ ๒ ลูก หันด้านที่เจาะรูออกมาด้านหน้า ผู้ที่ได้ตีก่อนจะตีคนเดียว ๒ ไม้ ตีบนกลอง ๒ ลูก กรรมการเป่านกหวีด เปิด - ปิด ให้ตี กรรมการจะวัดความแรงของเสียงบันทึกไว้ ต่อไปให้คู่แข่งตีจับเวลาเช่นเดียวกัน ต่อจากนั้น คณะคู่แข่ง ๒ คู่จะเรียงกันและตีของแต่ละฝ่ายตามสัญญาณ โดยตีไม่พร้อมกันเหมือนตีคนเดียวตอนนี้ไม่ได้วัดเสียงแต่วัดความสามัคคีที่คณะแสดงประกอบเท่านั้น
            ขั้นตอนต่อไปจะมีการสับเปลี่ยนที่ตั้งกลองของทั้งสองฝ่าย เริ่มตีจับเวลาเช่นเดียวกัน นำผลทั้ง ๒ ครั้งมารวมกัน ฝ่ายที่ได้ความดังมากกว่าจะชนะ การตีเป็นทีมส่งท้ายอีกครั้งจะประกาศผล
            เมื่อได้ผู้ชนะในรอบแรก ก็จัดแบ่งในรอบ ๒ ต่อไปจนได้ผู้ชนะเลิศ รองชนะเลิศ ตามลำดับ
คณะกรรมการ
            เกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการเส็งกลองนั้น ในการจัดตั้งคณะกรรมการจะใช้คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นกรรมการต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมซึ่งจะใช้หลักเกณฑ์การปฏิบัติ จากมติของคณะกรรมการโดยส่วนรวมในการตัดสิน ซึ่งในเรื่องนี้ยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัว ในการแข่งขันแต่ละงานอาจปรับเปลี่ยนได้
ความสัมพันธ์ระหว่างกลองเส็งกับชาวบ้าน
            กลองเส็งกับวิถีชีวิตชาวอีสานมีความผูกพันธ์กันมาก และมีมานานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ซึ่งชาวอีสานจะมีความเชื่อเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกลองเส็ง ความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือธรรมชาติและผีสางเทวดา เชื่อโชคลางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนด้านความสัมพันธ์กับสังคม ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกลองเส็งส่วนใหญ่จะมีมนุษยสัมพันธ์ดี มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสังคมอื่นๆ หากเป็นผู้ตีกลอง จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ นิสัยร่าเริง รู้จักให้อภัยบุคคลอื่น สำหรับช่างทำกลอง เป็นผู้ที่มีภูมิปัญญา ใช้ความสามารถและเทคนิคต่างๆสร้างสรรค์ประดิษฐ์ตกแต่งวัสดุ ทำให้เกิดเสียงเพื่อเป็นสัญญาณต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อให้สังคมโลกได้รู้ว่า นี่คือ สัญลักษณ์อันเป็นมรดกของคนอีสานโดยแท้จริง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ

 การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ    จำนวนผู้เล่น   2 - 4 คน วิธีเล่น ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5 ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5 หมาก หมากที่ 1 ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" ขณะที่หยิบเม็ดที่ทอดนั้น ถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย หมากที่ 2 เก็บทีละ 2 เม็ด หมากที่ 3 เก็บทีละ 3 เม็ด หมากที่ 4 ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขี้นร้าน" ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100 แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร หมายถึงว่าต้องเร...

การเล่นเพลงยิ้มใย

 การเล่นเพลงยิ้มใย ภาค     ภาคเหนือ จังหวัด  สุโขทัย เพลงยิ้มใย ปัจจุบันหาผู้ร้องได้น้อยลงทุกที ลักษณะการร้อง คือ จะมีลูกคู่ร้องสอดรับคำว่า เชียะ เชียะ เชียะ ที่ท่อนกลางของเนื้อร้องท่อนที่หนึ่งกับร้องรับทวนซ้ำสองบทหลังสอง ครั้งแล้วจึงลงคำว่า เอ๋ยแล้วเอย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงยิ้มใยสุโขทัย ไม่พบที่ใด เพลงหน้าใยของทางภาคกลางก็มีลักษณะต่างกัน แต่เรียกชื่อคล้ายกันมาก ลักษณะการเล่น เป็นการเล่นของกลุ่มหนุ่มสาว การแต่งกาย แต่งกายอย่างชาวชนบทไทยในสมัยนั้น สถานที่ (ลานวัด และหมู่บ้านที่เป็นทางเดินแห่ขบวน) วิธีเล่น ในเทศกาลตรุษ สงกรานต์ก่อนจะสรงน้ำพระจะนำพระพุทธรูปใส่เกวียนแล้วแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำไปสรง เพลงยิ้มใยนี้จะร้องเล่นกันไปในระหว่างแห่พระนั่นเอง เนื้อความทำนองร้องเล่นรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนในเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนั้น ก็จะร้องเล่นกันไปในขณะเดินขบวน เพลง ลักยิ้มก็ฉันเอย นะพ่อคุณเอ๋ยยิ้มใย (ลูกคู่) เชียะ เชียะ เชียะ ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย (ลูกคู่) ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถ...

วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว

 วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว (การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) การเล่นวิ่งวัวหรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า วิ่งเปี้ยว อาจเป็นการวิ่งทางตรงสวนกันหรือวิ่งเป็นวงกลมเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งไล่ให้ทันอีกฝ่ายหนึ่ง วัตถุประสงค์ เพื่อฝึกความเร็วและความแข็งแรง เพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อการฝึกบริหารกาย อุปกรณ์ เสา 2 หลัก ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน รูปแบบ ปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลัก ข้างละหลัก ระยะห่างประมาณ 50 หลา ผู้เล่นยืนเข้าแถวตอนด้านหลังหลักแต่ละข้าง  วิธีการเล่น เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยผู้เล่นของแต่ละฝ่ายวิ่งอ้อมหลักไล่ให้ทันกัน มือถือผ้าคนละผืนเมื่อถึงฝ่ายของตนให้ส่งผ้าให้คนต่อไป ถ้าผ้าของใครตกต้องหยุดเก็บผ้าก่อน หรือคนต่อไปเก็บผ้าและถือไว้ วิ่งต่อไป ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่งจึงถือว่า ฝ่ายนั้นชนะ ข้อเสนอแนะ ผู้เล่นคนใดถูกตีต้องรำตามเพลงที่ผู้ตีร้อง