ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มอญซ่อนผ้า

 “มอญซ่อนผ้า
 มอญซ่อนผ้าตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้นู่นไว้นี่ฉันจะตีก้นเธอ ..
เสียงเพลงร้องประกอบการละเล่นของเด็กๆแว่วเข้าหู ทำให้ย้อนนึกไปถึงวันวาน วันวานที่เคยมีอดีตอันสดใสน่าค้นหาซุกซ่อนอยู่ บางครั้งปะปนอยู่กับซากเศษสิ่งของรกเรื้อใต้ถุนบ้าน ในห่อหรือในหีบผ้า แต่เหตุใดมอญต้องเอาไปซ่อน ซ่อนเพราะความหวงแหนว่าผู้อื่นจะเอาเยี่ยงอย่างไปใช้ หรือซ่อนเพราะเกรงว่าลูกหลานไม่เห็นค่าแล้วอาจทำตกหล่นสูญหายไป มอญจึงต้องซ่อนผ้า

ช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือเทศกาลปีใหม่แบบไทย เป็นช่วงเทศกาลที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวไทยโดยเฉพาะชาวต่างจังหวัด และยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเมื่อภาครัฐลงทุนประชาสัมพันธ์ออกมาทางสื่อ ทุกแขนงกระตุ้นเตือนถึงสำนึกความเป็นไทย ทำให้มนุษย์เงินเดือนต่างกระตือรือร้นต้องการย้อนคืนถิ่น ใฝ่หาไออุ่นจากครอบครัว กลับไปหาอดีตเมื่อวันวานครั้งยังเล็ก ชีวิตที่ไม่รีบร้อน มิตรภาพความเอื้ออาทรที่บริสุทธิ์ใจ วิถีชีวิตที่ผูกพันธ์อยู่กับวัฒนธรรมประเพณี ร้อยโยงความสัมพันธ์ของชาวบ้านและชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน

เป็นที่ทราบกันดีว่าเทศกาลสงกรานต์นั้นไม่ได้กำเนิดในเมืองไทย หากแต่เรารับเอาคตินั้นมาจากชาวอินเดีย ผ่านมาทางมอญ พร้อมๆกับการยอมรับนับถือพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้จากการที่มีหลายๆชนชาติแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มี การเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ ในฐานะวันขึ้นปีใหม่ เช่นเดียวกันกับไทย

ประเพณีพิธีกรรมต่างๆในราชสำนัก หรือประเพณีหลวง ล้วนถูกพัฒนาขึ้นจากประเพณีราษฎร์ที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ด้วยระยะเริ่มแรกชาวบ้านนั้นรับแบบแผนประเพณีมาจากเพื่อนบ้านอย่าง อินเดีย เปอร์เซีย เขมร และมอญ นำมาผสมผสานจนออกมามีรูปแบบเฉพาะตน ต่อมาเมื่อแบบแผนประเพณีเหล่านี้แพร่เข้าไปยังราชสำนัก ถูกดัดแปลงให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รายละเอียดที่วิจิตรบรรจง เป็นการสร้างความแตกต่างให้เห็นว่าถ้าเป็นประเพณีหลวงแล้วย่อมไม่ธรรมดา จึงไม่แปลกเลยที่ทั้งพิธีราษฎร์ พิธีหลวง วัฒนธรรมประเพณี แม้แต่การละเล่นพื้นบ้านของไทยจึงไม่ใช่สิ่งที่คนไทยเป็นต้นคิดขึ้นมาทั้ง หมด หากแต่คนไทยได้รับแนวคิดเหล่านั้นเข้ามาปรับปรุงแก้ไขให้กลมกลืน เข้ากับอุปนิสัยของคนไทยอย่างแนบเนียน

ย้อนไปกล่าวถึงการละเล่นมอญซ่อนผ้าของเด็กไทยสมัยก่อน(สมัยนี้ก็ยังมีให้ เห็น แต่ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจที่จะเล่นของเด็ก ทว่าเกิดจากการผลักดันของผู้ใหญ่ ให้เด็กเล่นเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม) กฎกติกาการละเล่นนั้นไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพียงมีลานกว้างๆ ผู้เล่นเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงก็ได้อย่างน้อยสัก ๑๐ คนขึ้นไป หาผ้ามา ๑ ผืนนำมาพับและมัดเป็นก้อนกลมๆ คล้ายตุ๊กตา มีชายสำหรับถือ หรือใช้ตุ๊กตาผ้าจริงๆก็ได้

เมื่อคนเล่นพร้อมแล้ว ก็เลือกใครคนหนึ่งขึ้นมาสวมบทบาทให้เป็น “มอญ” คนที่เหลือก็นั่งล้อมวงช่วยกันส่งเสียงร้องเพลง “มอญซ่อนผ้า” เนื้อร้องดังได้เกริ่นนำไว้แล้วข้างต้น ระหว่างที่ร้องเพลง มอญจะถือผ้าที่เป็นอุปกรณ์การเล่นเพียงชิ้นเดียวนั้นวิ่งหรือเดินช้าๆ เวียนด้านหลังคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ จะเวียนซ้ายหรือขวาก็ได้ แต่ต้องเวียนไปทางเดียวกันตลอดการเล่น แล้วเลือกทิ้ง(ซ่อน) ผ้าไว้ที่ข้างหลังคนใดคนหนึ่ง มอญจะรีบเดินเวียนต่อไปเพื่อให้ครบรอบ และหากคนที่ถูกซ่อนผ้าไว้ข้างหลังไม่รู้ตัว เมื่อมอญเวียนมาครบรอบก็หยิบผ้านั้นขึ้นมาไล่ตีก้นคนที่ถูกทิ้งผ้า คนที่ถูกทิ้งผ้าต้องวิ่งหนีไปรอบๆจนกว่าจะเวียนกลับมานั่งที่เดิมของตนได้ คนที่เป็นมอญก็จะยังเล่นเป็นมอญต่อไป แต่ถ้าคนที่ถูกทิ้งผ้านั้นรู้ตัว ก่อนที่มอญจะเวียนมาครบรอบ รีบฉวยผ้านั้นไล่ตีมอญไปเรื่อยจนกว่ามอญจะลงไปนั่งแทนที่เดิมของตน และคนผู้นั้นก็จะได้เล่นเป็นมอญแทน

ผู้เขียนพยายามค้นหาเอกสารหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวกับการละเล่น “มอญซ่อนผ้า” ทั้งสอบถามคนเฒ่าคนแก่ชาวมอญหลายท่าน ล้วนยืนยันตรงกันว่าการละเล่น “มอญซ่อนผ้า” นั้นไม่ใช่การละเล่นของมอญ คาดว่าเป็นการละเล่นที่คนไทยคิดขึ้นมา ด้วยความที่คนไทยและคนมอญคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คนไทยจึงหยิบยกเอาจุดอ่อนของมอญขึ้นมาล้อเล่น เย้าแหย่กันประสาเพื่อนฝูง เพราะคนมอญนั้นซ่อนผ้าจริงๆ และคนมอญนั้นไม่เล่นตุ๊กตาเด็ดขาด

“มอญซ่อนผ้า” นั้นจะเป็นเพียงบทร้องประกอบการละเล่นของเด็กเท่านั้น หรือผ้าที่ว่านั้นคือผ้าชิ้นเล็กๆที่เด็กๆนำมามัดเป็นรูปตุ๊กตาสำหรับวิ่ง ไล่ตีกันเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มอญซ่อนเอาไว้ในห่อผ้านั้นคือ ศิลปวิทยาการทั้งปวง

คนมอญนั้นนับถือผีอย่างมาก ซึ่งไม่ได้งมงายอย่างที่หลายท่านเข้าใจ เพราะผีที่คนมอญนับถือนั้นมิใช่ผีที่ไร้สกุลรุนชาติ ทว่าเป็นผีซึ่งเกิดจากปู่ย่าตายายของตนเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ผีมอญนั้นมีด้วยกันหลายสกุล เช่น ผีเต่า ผีไก่ ผีข้าวเหนียว ผีงู เป็นต้น(ตามความเข้าใจของผู้เขียน ที่หาเหตุผลและหลักฐานใดมาอ้างอิงมิได้ เชื่อว่า สกุลผีต่างๆนั้นเกิดจากปู่ย่าตายายของตนเมื่อก่อนตายเคยชอบกินหรือสั่งเสีย เอาไว้ เมื่อปู่ย่าตายายตายจากไป ลูกหลานจึงบำรุงเซ่นไหว้ด้วยอาหารที่ปรุงจากสิ่งที่ปู่ย่าตายายชื่นชอบ)

ผีมอญมีหน้าที่คอยปกปักรักษาดูแลลูกหลาน มีจารีตประเพณีที่ลูกหลานต้องปฏิบัติ หากลูกหลานปรนนิบัติผีได้เหมาะสมครบถ้วนแล้ว รับประกันได้ว่าชีวิตครอบครัวของเขาจะราบรื่น สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข เพราะจารีตประเพณีที่ลูกหลานต้องปฏิบัติต่อครอบครัวและปฏิบัติต่อผีนั้น สามารถเทียบได้กับกฎหมายในปัจจุบันนั่นเอง

บ้านมอญทุกบ้านจะมีเสาหลักหรือเสาเอกของบ้าน ซึ่งก็คือเสาผี อยู่ในเรือนใหญ่ชั้นใน และอยู่ในห้องนอนของเจ้าบ้าน เป็นเสาที่ใช้แขวนหีบหรือห่อผ้าผี ภายในหีบหรือห่อประกอบด้วยผ้านุ่งผ้าห่ม ผ้าโพกหัว และแหวนทองหัวพลอยแดง ๑ วง การเก็บดูแลรักษาผ้าผีต้องกระทำอย่างมิดชิด  หมั่นดูแลใส่ใจตรวจตราความเรียบร้อยอยู่เนืองๆ อย่าให้ฉีกขาด แมลงกัดแทะหรือสูญหายไปได้ หากลูกหลานไม่หมั่นดูแลปล่อยให้ผ้าผีฉีกขาดสูญหาย หรือละเมิดจารีตประเพณีอื่นๆ เช่น ห้ามให้คนนอกผีหรือคนนอกตระกูลมาหลับนอนลักษณะคู่ผัวตัวเมียในเรือนใหญ่ชั้น ใน แม้แต่ลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นผีอื่น(คนมอญจะถือผีทางฝ่ายชาย โดยถ่ายทอดผ่านลูกชายคนหัวปี) นอกจากนั้นยังห้ามคนตั้งท้องยืนพิงเสาบ้าน ห้ามคนในตระกูลจัดงานเงียบๆ ต้องแจ้งให้ญาติทุกคนในตระกูลมาร่วมงาน และห้ามคนในตระกูลจัดงานเกิน ๑ ครั้ง ภายใน ๑ ปี เป็นต้น มิเช่นนั้นผีจะลงโทษทำให้คนในบ้านป่วยไข้ไม่สบาย ทำมาหากินไม่ขึ้น จะต้องจัดพิธีรำผีเพื่อเป็นการไถ่โทษ

เมื่อพิเคราะห์ดูจารีตประเพณี กฎข้อห้าม ข้อปฏิบัติต่างๆต่อผีแล้ว พบว่ามีแต่ข้อดีที่เตือนสติและให้แง่คิด เป็นครรลองดำเนินชีวิตแก่ลูกหลาน โดยเฉพาะในสังคมสมัยที่ยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ บางครั้งอ้างบาปบุญคุณโทษผู้คนจะกลัวเกรงกันน้อย หากยกเรื่องผีมาขู่ก็ดูจะได้ผลดีกว่า อย่างเช่นการห้ามคนนอกผีเข้าเรือนชั้นในนั้นก็เห็นได้ชัดเรื่องของความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่สำคัญป้องกันปัญหาเรื่องชู้สาว กรณีการห้ามจัดงานเงียบๆและห้ามจัดงานเกินปีละครั้งนั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการเน้นส่งเสริมความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เพราะกฎที่ห้ามจัดงานเงียบๆนั้น คือต้องบอกแขกเหรื่อให้มาร่วมงานโดยไม่ปิดบัง ญาติพี่น้องต้องมาให้ครบทั้งตระกูล ให้ญาติพี่น้องใส่ใจติดตามข่าวสารซึ่งกันและกัน นอกจากญาติพี่น้องได้พบปะสังสรรไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว ยังเป็นการประหยัดหากจัดงานเหมือนกันก็จัดร่วมกันได้ ญาติพี่น้องได้มาร่วมงานกันถ้วนหน้า ลูกหลานได้รู้จักกัน ไม่บาดหมางกันและไม่แต่งงานกันเองภายในตระกูล ซึ่งคนมอญนั้นถือมากในเรื่องเหล่านี้

แม้การห้ามเรื่องการจัดงานเงียบๆ และให้ญาติพี่น้องทุกคนต้องมาร่วมงานนั้นจะทำได้ยากในยุคสมัยนี้ ด้วยความจำเป็นทางภาระหน้าที่การงานและเหตุผลทางเศรษฐกิจ แต่ในยุคที่คนมอญยังไม่มีนามสกุลใช้ ยังไม่รู้จักเทคโนโลยีและการสื่อสาร การควบคุมดูแลกันเองภายในตระกูล โดยระบบการนับถือผีของมอญนี้นับว่าใช้ได้ผลดี

ในปัจจุบันนี้แม้สังคมทั้งไทยและมอญจะประสบปัญหาเช่นเดียวกันในเรื่องของ เทคโนโลยีสารสนเทศ ยุคที่ผู้คนบริโภคข่าวสาร คนรุ่นใหม่รับเอาวัฒนธรรมชาติตะวันตกเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างล้นทะลัก วัฒนธรรมไทยไม่อาจต้านกระแสเหล่านั้นได้    เพลงไทย ดนตรีไทย นาฏศิลป์ไทย การแต่งกายแบบไทย จะหาดูหาชมได้ที่กรมศิลปากรเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าสถานการณ์ของไทยยังดีกว่าของมอญ เพราะมอญไม่มีประเทศ ชาวมอญเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองไทย ไม่ว่าจะทำนุบำรุงศิลปศาสตร์เอาไว้ได้ดีเพียงใด ก็เพียงได้ชื่อว่ารักษาวัฒนธรรมพื้นบ้านมอญ อันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์(๒๕๑๘) ได้กล่าวไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ “…..การที่ชาวมอญและชาวไทยอยู่ด้วยกัน และเข้ากันได้เป็นอย่างดีนั้น เนื่องด้วยชาวมอญและชาวไทยมีวัฒนธรรมประเพณีทีคล้ายๆกัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นศิลปวัฒนธรรมที่มอญทิ้งไว้ให้นั่นเอง…..”

รศ.วัฒนา บุรกสิกร(๒๕๔๑) อดีตอาจารย์สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนองานวิจัยเรื่องลักษณะคำไทยที่มาจากภาษามอญ ระบุว่ามีคำไทยที่ยืมมาจากภาษามอญถึง ๖๙๗ คำ

กฎหมายตราสามดวง(๒๕๐๕) ซึ่งเป็นต้นแบบของกฎหมาย และพัฒนามาสู่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน กล่าวไว้ในตอนต้นว่ากฎหมายตราสามดวงดังกล่าวมีที่มาจากพระธรรมศาสตร์ของมอญ

กรณีตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าวัฒนธรรมประเพณีของมอญนั้นไก ล้เคียงและสัมพันธ์อยู่กับวัฒนธรรมประเพณีไทยจนแยกไม่ออก บางครั้งคนมอญเองก็ลืมเลือนไปว่าสิ่งใดคือของไทยและสิ่งใดเป็นของมอญ ครั้นจะทึกทักเอาเองก็ดูจะโอ้อวดเกินไป แต่สิ่งที่ยังคงมั่นใจได้ว่าสิ่งใดเป็นมอญแท้ อย่างน้อยคงดูได้จากวัฒนธรรมประเพณีมอญที่ยังคงหลงเหลือในพิธีกรรมที่เกี่ยว ข้องกับผี เพราะขึ้นชื่อว่าผีแล้วไม่ค่อยมีใครกล้าเปลี่ยนแปลงลักษณะและขั้นตอนมากนัก ยิ่งเมื่อได้ไปพบเห็นพิธีกรรมเกี่ยวกับการรำผีในเมืองมอญ(เมืองเมาะละแหม่ง ประเทศพม่า) เข้าแล้ว ทั้งสถาปัตยกรรม(โรงรำผี) ดนตรีปี่พาทย์ อาหารเซ่นผี การแต่งกาย ขั้นตอนประกอบพิธีกรรม และยิ่งภาษาที่ใช้สื่อสารกัน ผู้เขียนพบว่า แม้ตระกูลของผู้เขียนจะอพยพมาจากเมืองมอญเกือบ ๒๐๐ ปีแล้ว ยังสามารถสื่อสารกันได้ดี แม้สำเนียงและรูปประโยคจะผิดเพี้ยนกันไปบ้าง นั่นย่อมแสดงว่าวัฒนธรรมประเพณีของมอญที่ชาวมอญนำติดตัวเข้ามาด้วยนั้น แผ่นดินไทยยังคงเก็บรักษาไว้ให้เป็นอย่างดี

คนมอญนั้นสั่งนักสั่งหนามาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ทั้งห้ามลูกห้ามหลานเป็นคำขาดว่าไม่ให้เล่นตุ๊กตา(ผู้เขียนเองแม้บัดนี้โต เป็นหนุ่มใหญ่แล้วก็ยังไม่เคยเล่นตุ๊กตาและหุ่นยนต์เลย – ไม่ทราบเหตุผลแต่ก็ยอมทำตามโดยดี) อีกทั้งเรื่องที่ “มอญซ่อนผ้า” ก็เป็นจริงดังที่คนไทยว่า แต่จะด้วยเหตุผลใดนั้นคงไม่สามารถสรุปให้แน่ชัดลงไปได้ สิ่งที่เป็นรูปธรรมชัดเจน คือการซ่อนผ้าผีในหีบเก่าคร่ำคร่า ทว่าแฝงไปด้วยกุศโลบายสอนลูกสอนหลานให้รู้คุณค่าของคน แต่หากจะกล่าวแบบนามธรรมแล้ว ก็เป็นเพราะมอญได้สูญเสียเอกราชมากว่า ๒๔๘ ปี จำเป็นต้องเก็บสั่งสมศิลปวิทยาการใส่ผ้าห่อเอาไว้ รอวันที่ฟ้าจะมีหงส์ รอวันให้หงส์คืนรังเหมือนเมื่อบ้านเมืองยังดี เมื่อนั้น “มอญ” จะไม่ “ซ่อนผ้า” อีกต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ

 การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ    จำนวนผู้เล่น   2 - 4 คน วิธีเล่น ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5 ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5 หมาก หมากที่ 1 ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" ขณะที่หยิบเม็ดที่ทอดนั้น ถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย หมากที่ 2 เก็บทีละ 2 เม็ด หมากที่ 3 เก็บทีละ 3 เม็ด หมากที่ 4 ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขี้นร้าน" ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100 แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร หมายถึงว่าต้องเร...

การเล่นเพลงยิ้มใย

 การเล่นเพลงยิ้มใย ภาค     ภาคเหนือ จังหวัด  สุโขทัย เพลงยิ้มใย ปัจจุบันหาผู้ร้องได้น้อยลงทุกที ลักษณะการร้อง คือ จะมีลูกคู่ร้องสอดรับคำว่า เชียะ เชียะ เชียะ ที่ท่อนกลางของเนื้อร้องท่อนที่หนึ่งกับร้องรับทวนซ้ำสองบทหลังสอง ครั้งแล้วจึงลงคำว่า เอ๋ยแล้วเอย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงยิ้มใยสุโขทัย ไม่พบที่ใด เพลงหน้าใยของทางภาคกลางก็มีลักษณะต่างกัน แต่เรียกชื่อคล้ายกันมาก ลักษณะการเล่น เป็นการเล่นของกลุ่มหนุ่มสาว การแต่งกาย แต่งกายอย่างชาวชนบทไทยในสมัยนั้น สถานที่ (ลานวัด และหมู่บ้านที่เป็นทางเดินแห่ขบวน) วิธีเล่น ในเทศกาลตรุษ สงกรานต์ก่อนจะสรงน้ำพระจะนำพระพุทธรูปใส่เกวียนแล้วแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำไปสรง เพลงยิ้มใยนี้จะร้องเล่นกันไปในระหว่างแห่พระนั่นเอง เนื้อความทำนองร้องเล่นรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนในเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนั้น ก็จะร้องเล่นกันไปในขณะเดินขบวน เพลง ลักยิ้มก็ฉันเอย นะพ่อคุณเอ๋ยยิ้มใย (ลูกคู่) เชียะ เชียะ เชียะ ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย (ลูกคู่) ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถ...

วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว

 วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว (การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) การเล่นวิ่งวัวหรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า วิ่งเปี้ยว อาจเป็นการวิ่งทางตรงสวนกันหรือวิ่งเป็นวงกลมเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งไล่ให้ทันอีกฝ่ายหนึ่ง วัตถุประสงค์ เพื่อฝึกความเร็วและความแข็งแรง เพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อการฝึกบริหารกาย อุปกรณ์ เสา 2 หลัก ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน รูปแบบ ปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลัก ข้างละหลัก ระยะห่างประมาณ 50 หลา ผู้เล่นยืนเข้าแถวตอนด้านหลังหลักแต่ละข้าง  วิธีการเล่น เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยผู้เล่นของแต่ละฝ่ายวิ่งอ้อมหลักไล่ให้ทันกัน มือถือผ้าคนละผืนเมื่อถึงฝ่ายของตนให้ส่งผ้าให้คนต่อไป ถ้าผ้าของใครตกต้องหยุดเก็บผ้าก่อน หรือคนต่อไปเก็บผ้าและถือไว้ วิ่งต่อไป ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่งจึงถือว่า ฝ่ายนั้นชนะ ข้อเสนอแนะ ผู้เล่นคนใดถูกตีต้องรำตามเพลงที่ผู้ตีร้อง