ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เจรียงซันตูจ

เจรียงซันตูจ 
ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัด สุรินทร์

อุปกรณ์และวิธีการเล่น
เจรียงซันตูจ แปลว่า ร้อง-ตกเบ็ด เป็นการร้องเล่นในงานเทศกาลต่าง ๆ หรืองานบวชนาคและที่แพร่หลายกันมากคือ ช่วงเดือน ๑๐ (ไงแซนโดนตา) และช่วงเดือน ๕ (แคแจด) ในวันฉลองส่วนมากจะจัดเป็นงานวัด หนุ่ม ๆ ที่มาร่วมงานจะมารวมกันเป็นกลุ่ม ๆ และหาคันเบ็ดมา ๑ อัน เหยื่อที่ปลาคันเบ็ดนั้นใช้ขนม ข้าวต้มมัด ผลไม้ผูกเป็นพวง วิธีการตกเบ็ดนั้นที่ใดมีกลุ่มหญิงสาวนั่งรวมกันอยู่ กลุ่มหนุ่ม ๆ จะพากันร้องรำทำเพลงแล้วก็หย่อนเบ็ดให้เหยื่อไปลอยอยู่ตรงหน้าสาวคนนี้บ้าง คนโน้นบ้าง ผู้ที่ถือคันเบ็ดจะเป็นผู้ร้องเพลง (เจรียง) เอง หากสาวผู้นั้นรับเหยื่อ (หรือขนม) ไปแสดงว่าพอใจ หลังจากเสร็จงานแล้วฝ่ายหนุ่มจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอหรือทาบทามต่อไป

โอกาสที่เล่น
การเกี้ยวพาราสีในเดือนห้า
เดือนห้าหรือเดือนเมษายน ชาวสุรินทร์เรียกว่า "แคแจด" อากาศจะร้อนมาก เป็นเดือนแห่งการเล่นน้ำตลอดทั้งเดือน แบ่งเป็น ๖ ช่วงดังนี้
โจลแคแจค เป็นช่วงเตือนละแวกบ้านทุกเพศทุกวัยให้รับรู้ว่า เป็นช่วงเข้าสู่เดือนแห่งการเล่นน้ำ
ตอมตูจ เป็นช่วงกำหนดให้หยุดงานทุกอย่างที่เป็นงานหนัก ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจสนุกสนานรื่นเริง มีการรำตรุษอวยพรกันในวันปีใหม่ หนุ่มสาวขนทรายจาก ๘ ทิศ สำหรับก่อเจดีย์ทรายกำหนดไว้ ๓ วัน

โจลเวือด เป็นช่วงของการขนทรายเข้าวัด หนุ่มสาวจะพบกันที่วัดตั้งใจประดับเจดีย์ทรายให้สวยงาม
ตอมทม เป็นการหยุดงานครั้งสำคัญ หยุด ๗ วัน จะมีกิจกรรมให้ทำทั้งวันและคืน การละเล่นพื้นบ้าน เช่น เรือมจับกรับ เรือมอันเร เจรียงนอรแกว
ตราตระมอม เป็นช่วงของการแห่พระพุทธรูปประกอบพิธีสงฆ์ สรงน้ำพระพุทธรูปประกอบพิธีสงฆ์ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่และเยาวชนคนทั่วไป มีการเล่นน้ำเล่นมอม (ถ่าน) อย่างสนุกสนานฉลองเจดีย์ทรายในตอนกลางคืน
ปังเฮยแคแจด เป็นช่วงการลาเดือนห้าจะทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ เป็นการลา

การเกี้ยวพาราสี ระหว่างหนุ่มสาวจะเริ่มกันในช่วงแคแจดหรือเดือนห้า เพราะหยุดงานหยุดภาระกิจ พ้นจากสายตาของผู้ใหญ่ เปิดโอกาสอย่างอิสระในการเล่นหัวอย่างสนุกสนาน เช่น การเล่นสะบ้า ที่ฝ่ายแพ้ต้องถูกปรับโดยให้ฝ่ายชนะเขกหัวเข่า เป็นกิจกรรมที่ทำให้หนุ่มสาวได้ใกล้ชิดกันและเกิดความประทับใจซึ่งกันและกัน การเล่นลูกโยนหรือที่ชาวสุรินทร์เรียกว่า "เล่นโชง" นั้น ฝ่ายแพ้จะถูกฝ่ายชนะไล่ตีหลังหรือตะโพก หรือบางกลุ่มอาจจะปรับให้ฝ่ายแพ้เจรียงหรือร้องเพลงให้ฟัง
การแสดงความในใจโดยการร้องเพลง หรือรำด้วยลีลาต่าง ๆ เป็นที่นิยมกันมากของชาวจังหวัดสุรินทร์ แม้แต่ในการรำตรุษ (หรือเรือมตรษ) เพื่อเดินอวยพรตามบ้านเรือน ก็จะเป็นการประชันกันในแต่ละคุ้มว่าผู้ร้องนำมีวาทศิลป์ระดับใด อันอาจแสดงความในใจต่าง ๆ แก่สาวที่ตนรักก็ได้
ในเดือนห้าหนุ่มสาวบางคนก็ยังไม่สนิทสนมกันแม้จะมีการละเล่นร่วมกัน เช่น เรือมอันเร ก็ยังอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ซึ่งการกระทำให้ผู้ใหญ่พอใจเป็นเรื่องยากสำหรับหนุ่มสาวเช่นกัน ในกิจกรรมเรือมอันเรจึงมีเกมส์สนุกสนานให้ฝ่ายชายได้แสดงความสามารถในการ ร่ายรำกระทบสากในลีลาที่เสี่ยงภัย เป็นการทักทายแสดงความกล้าหาญให้อีกฝ่ายพอใจ
หลังจากพบปะสนิทสนมกันตลอดเดือนห้าก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจของ หนุ่มสาว ในช่วงเดือนสิบจึงมีการฉลองและเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวมีการละเล่นกันอีกครั้งหนึ่ง

การเกี้ยวพาราสีในเดือนสิบ
เดือนสิบหรือเดือนกันยายน เป็นพิธีสารทหรือไงแซนโดนตา ของชาวสุรินทร์ งานจะจัดเป็น ๒ ช่วง ติดต่อกัน คือ ช่วงแรกขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า เบณฑ์ตู๊จ คือ สารทเล็ก ช่วงที่สองวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ เป็นพิธีเบณฑ์ทม คือสารทใหญ่ ประชาชนจะมาทำบุญกันอย่างเอิกเกริกที่วัด การถือกำหนดวันเช่นนี้ชาวบ้านยังถือปฏิบัติอยู่เป็นประจำ ซึ่งบางแห่งยังอาจจะปฏิบัติครั้งเดียวโดยยึดวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนสิบ หรือวันแรม ๑๕ ค่ำเดือนสิบวันใดวันหนึ่ง จังหวัดสุรินทร์ยังรักษาประเพณีเก่ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย


เมื่อถึงวันเบณฑ์ทมมีสวดมนต์เย็นและทุกครอบครัวจะมีภาชนะ เช่น กระจาด
กระเชอ ใส่อาหารคาว หวาน ขนม ข้าวต้ม หมากพลู บุหรี่ เรียกว่า "กระเชอโดนตา" เป็นเครื่องพลีกรรม นำมาจุดธูปเทียนทำพิธีอุทิศต่อหน้าพระสงฆ์ เวลาสวดจะเชิญวิญญาณผู้ที่ล่วงลับมารับศีลฟังธรรม

กระเชอโดนตานี้ ก็มีการประดับตกแต่งสวยงามแล้วแต่ฐานะของครอบครัวคิดจัดทำ เสร็จจากการฟังเทศน์ ฟังธรรม อาจมีงานรื่นเริงตามแบบชาวบ้าน คนแก่ชอบฟังดีดจีแปย (พิณชนิดหนึ่งคล้ายกีตาร์) หรือเพลงแปยอังโกง (ปี่ใหญ่ทำด้วยไม้รวก) มีคนร้องเพลงประกอบ


ปี่เล็กอย่างหนึ่งเรียกว่าแปยเย็น (ปี่เย็น) เวลานี้หาคนเป่าได้ยากเกือบสูญหมดแล้วหนุ่ม ๆ ชอบเป่าตอนดึกสงัด เสียงวังเวง หวานเย็นเยือก หนุ่มสาวที่มาค้างคืนช่วยกันเตรียมอาหารไว้ตักบาตรก็จะมีการร้องรำเจรียงซัน ตูจ (เพลงตกเบ็ด) รำเกี้ยวพาราสีในหมู่หนุ่มสาว จะใช้กล้วยเป็นเหยื่อล่อเบ็ด ใช้ไม้เรียวเป็นคันเบ็ดสาวปลากลุ่มใดยึดเหยื่อไว้ได้ก็แสดงว่าต้องใจ
เมื่อเวลาใกล้ย่ำรุ่งจะต้องมีการทำพิธีที่วัดอีก ผู้อยู่ใกล้วัดต้องมาวัดแต่เช้ามืด เมื่อเสร็จพิธีในโบสถ์ก็พากันจุดธูปเทียนแบกกระเชอเดินเวียนรอบโบสถ์จนครบ รอบ เวลานี้เรียกว่า "ประเฮียม เยียะ ชะโงก" แปลว่า เวลาสงสารยักษ์ชะโงก เป็นเวลาที่ยักษ์ ผีเปรต ออกหากิน ทุกคนจะมายืนล้อมวงกันแล้วเทอาหารจากกระเชอลงลานหญ้ารวมกัน โอกาสนี้เป็นโอกาสที่เด็ก หนุ่มสาว ต่างก็ยื้อแย่งเอาขนม ข้าวต้มของกันและกันเป็นที่สนุกสนาน ช่วงนี้เรียกว่า "เพลาประเฮียม"


แนวคิด/คุณค่า
ผู้เล่นจะได้รับความสนุกสนาน มีเนื้อร้องทำนองเพลงจากวงดนตรีกันตรึมประกอบด้วย ทำให้ผู้ชมและผู้ฟังเพลิดเพลิน ปัจจุบันนี้เจรียงซันตูจได้รับความนิยมมากขึ้น สามารถนำมาเล่นเป็นการแสดงสมมุติในงานรื่นเริงต่าง ๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมรอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ

 การละเล่นพื้นบ้าน 4 ภาค: ภาคกลาง หมากเก็บ    จำนวนผู้เล่น   2 - 4 คน วิธีเล่น ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5 ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5 หมาก หมากที่ 1 ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" ขณะที่หยิบเม็ดที่ทอดนั้น ถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย หมากที่ 2 เก็บทีละ 2 เม็ด หมากที่ 3 เก็บทีละ 3 เม็ด หมากที่ 4 ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขี้นร้าน" ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100 แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร หมายถึงว่าต้องเร...

การเล่นเพลงยิ้มใย

 การเล่นเพลงยิ้มใย ภาค     ภาคเหนือ จังหวัด  สุโขทัย เพลงยิ้มใย ปัจจุบันหาผู้ร้องได้น้อยลงทุกที ลักษณะการร้อง คือ จะมีลูกคู่ร้องสอดรับคำว่า เชียะ เชียะ เชียะ ที่ท่อนกลางของเนื้อร้องท่อนที่หนึ่งกับร้องรับทวนซ้ำสองบทหลังสอง ครั้งแล้วจึงลงคำว่า เอ๋ยแล้วเอย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงยิ้มใยสุโขทัย ไม่พบที่ใด เพลงหน้าใยของทางภาคกลางก็มีลักษณะต่างกัน แต่เรียกชื่อคล้ายกันมาก ลักษณะการเล่น เป็นการเล่นของกลุ่มหนุ่มสาว การแต่งกาย แต่งกายอย่างชาวชนบทไทยในสมัยนั้น สถานที่ (ลานวัด และหมู่บ้านที่เป็นทางเดินแห่ขบวน) วิธีเล่น ในเทศกาลตรุษ สงกรานต์ก่อนจะสรงน้ำพระจะนำพระพุทธรูปใส่เกวียนแล้วแห่รอบหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำไปสรง เพลงยิ้มใยนี้จะร้องเล่นกันไปในระหว่างแห่พระนั่นเอง เนื้อความทำนองร้องเล่นรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนในเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนั้น ก็จะร้องเล่นกันไปในขณะเดินขบวน เพลง ลักยิ้มก็ฉันเอย นะพ่อคุณเอ๋ยยิ้มใย (ลูกคู่) เชียะ เชียะ เชียะ ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย (ลูกคู่) ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถิดเอย ตัดผมเรือนนอก ทัดแต่ดอกไม้ไหว ชมเล่นไกลๆ เอ๋ยเถ...

วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว

 วิ่งวัวหรือวิ่งเปรี้ยว (การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) การเล่นวิ่งวัวหรือที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า วิ่งเปี้ยว อาจเป็นการวิ่งทางตรงสวนกันหรือวิ่งเป็นวงกลมเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งไล่ให้ทันอีกฝ่ายหนึ่ง วัตถุประสงค์ เพื่อฝึกความเร็วและความแข็งแรง เพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อการฝึกบริหารกาย อุปกรณ์ เสา 2 หลัก ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน รูปแบบ ปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลัก ข้างละหลัก ระยะห่างประมาณ 50 หลา ผู้เล่นยืนเข้าแถวตอนด้านหลังหลักแต่ละข้าง  วิธีการเล่น เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยผู้เล่นของแต่ละฝ่ายวิ่งอ้อมหลักไล่ให้ทันกัน มือถือผ้าคนละผืนเมื่อถึงฝ่ายของตนให้ส่งผ้าให้คนต่อไป ถ้าผ้าของใครตกต้องหยุดเก็บผ้าก่อน หรือคนต่อไปเก็บผ้าและถือไว้ วิ่งต่อไป ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่งจึงถือว่า ฝ่ายนั้นชนะ ข้อเสนอแนะ ผู้เล่นคนใดถูกตีต้องรำตามเพลงที่ผู้ตีร้อง